วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

คุณสมบัติ ของน้ำมัน E85

เป็นเอทิล แอลกอฮอล์ เกรดที่นำมาทำเป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 มีความบริสุทธิ์ 95 %  ตามมาตรฐาน USA ซึ่งมีน้ำเจือปนอยู่น้อยมากเพียง 0.5%  มีคุณสมบัติซะล้างทำความสะอาดได้ดีมาก จนทำให้หัวฉีดไม่อุดตัน  ยกเว้นน้ำมันแกสโซฮอล์ E85  ที่เก็บไว้ถังเวลานานเกิน 6 เดือนขึ้นไป  น้ำมันจะเสื่อมคุณภาพเกิดยางเหนียว หรือเมือก เพราะน้ำมัน E85  ทำปฏิกิริยากับสิ่งที่ตกค้างเดิมก่อนน้ำมัน E85  และน้ำมัน E85  จึงไม่เหมาะที่จะเก็บไว้นาน  รถที่ใช้น้อยควรเติมหัวเชื้อรักษาความใหม่สด หรือ รถที่ใช้บ่อย ๆ และหลีกเลี่ยงน้ำมันหมดถังเพราะจะทำให้สิ่งสกปรกที่ตกค้างอุดตันปั๊มติ๊ก และหัวฉีดได้

ภายหลังการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ต้องเปลี่ยนอุปกรณ์ของรถหรือไม่

สำหรับรถใหม่ไม่ต้องเปลี่ยนอุปกรณ์ใด ๆ สำหรับรถอายุใช้งานเกิน 10,000 กม.และยังไม่เคยเปลี่ยนกรองน้ำมันเชื้อเพลิง (กรองเบนซิน) ก็ควรเปลี่ยน เพราะ น้ำมัน E85 มีคุณสมบัติล้างคราบไขมันและยางเหนียว ในถังน้ำมันได้ดีกว่าเบนซิน  จึงทำให้กรองเบนซินอุดตันเร็วกว่าปกติ ซึ่งจะทำให้แรงดันเชื้อเพลิงลดลง รถวิ่งอืด สะดุด หรืออาจทำให้ปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิง (ปั๊มติก) เสียเร็วขึ้น

การติดตั้ง ชุด KIT HP+

สามารถติดตั้งได้กับรถทุกประเภทที่มีเครื่องยนต์สันดาปภายใน ระบบหัวฉีดใช้นำมันเบนซินเป็นเชื้อเพลิง และหัวฉีดต้องเป็นระบบ MPI (ควบคุมด้วยอิเลคโทรนิคแยกอิสระกันในแต่ละสูบ) ไม่สามารถใช้กับเครื่องยนต์หัวฉีดระบบ GDI (Gas Direct InJection) K-JET

อายุการใช้งาน อุปกรณ์ชุด KIT

ชุด E85 KIT  ของ HP+ มีแผงวงจรเคลือบด้วยน้ำยา Resin จึงป้องกันการสั่นสะเทือนและกันน้ำ ทำให้โปรแกรมการทำงานมีความเสถียรทั้งรอบต่ำและรอบสูง  อายุการใช้งานเฉลี่ยสูง กว่ายี่ห้ออื่น ๆ 

ความประหยัดเงิน เมื่อใช้ ชุด KIT

เมื่อติดตั้ง ชุด E85 KIT  จะเพิ่มการจ่ายน้ำมันประมาณ  12~18 % ขึ้นอยู่กับรถแต่ละรุ่นแต่ยังสามารถประหยัดเงินได้  เพราะราคาขายน้ำมัน E85 ถูกกว่าแก๊สโซฮอล 95 ประมาณ 40%  เมื่อหักการจ่ายน้ำมันที่เพิ่มขึ้นแล้ว โดยผลเฉลี่ยยังคงประหยัดค่าน้ำมัน ประมาณ 25~35%  เพราะน้ำมัน E85  มีค่าออกเทนสูงถึง 105 ช่วยการเผาไหม้สมบูรณ์เครื่องยนต์มีกำลังและแรงบิดเพิ่มขึ้นประมาณ 3~5%   ทำให้ลดการเร่งรอบเครื่องยนต์ จึงกินน้ำมันน้อยลงในความเร็วสูง

ระบบ ออโต้ ของชุด Kit ดีหรือไม่

สำหรับชุด E85 Kit ที่ไม่มีสายต่อเชื่อมกับเซ็นเซอร์ของรถ เช่น Oxycen Sensor หรือ Ethanol Sensor วัดปริมาณ Ethanol ในระบบน้ำมัน เป็นระบบกึ่งอัตโนมัติทั้งสิ้น โดยทำการประมวลผลการปรับค่าชดเชยเพิ่มน้ำมันให้หัวฉีดเพียงอย่างเดียวตามค่าที่ถูกตั้งไว้  โดยช่างที่ติดตั้งมี 2 ระบบ คือ ลูกบิดปรับค่ามากน้อยหรือใช้คอมพิวเตอร์ปรับจูน  ระบบออโต้จึงขึ้นอยู่กับความสามารถของ ECU เดิมของรถทำการปรับแต่งลดการจ่ายน้ำมันให้หัวฉีด  ถ้าพบว่ามีการจ่ายน้ำมันหนา เกินความจำเป็นแต่ไม่สามารถปรับลดให้กลับมาเท่ากับของเดิมก่อนติดตั้งชุด KIT  กรณีนี้จะพบเมื่อมีการเปลี่ยนกลับไปใช้น้ำมัน E10, E20 โดยมีกล่อง  E85 KIT ตั้งค่าไว้ใช้กับน้ำมันแก๊สโซฮอล E85  รถยนต์ยังคงทำงานได้ตามปกติแต่จะสิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้นระบบออโต้ จึงขึ้นอยู่กับความสามารถของรถยนต์เองไม่ใช่  ชุด KIT  แต่อย่างใด  จึงควรเลือกแบบที่มี ลูกบิดปรับตั้งค่าเอง จะดีกว่า ช่วยประหยัดน้ำมันกว่า    

การเปลี่ยนท่อยาง หรืออุปกรณ์อื่น ๆ กับการติดชุด HP KIT

ถ้าหากเป็นรถหลัง ปี 1995 ซึ่งสามารถใช้น้ำมันเชื้อเพลิงแก๊สโซฮอลได้ ยังไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนท่อน้ำมัน  แต่ควรให้ช่างตรวจสภาพการใช้งานว่ายังปกติ หรือมีรอยแตกที่ผิวหรือไม่
วิธีง่าย ๆ ในการตรวจสภาพท่อยาง  ให้ลองบีบเบา ๆ ท่อยางที่ยังสามารถใช้งานได้ตามปกติ จะมีความยืดหยุ่นสามารถคืนตัวได้  แต่ถ้ามีสภาพแข็งกดไม่ลงแสดงว่าท่อยางหมด อายุการใช้งานควรเปลี่ยนใหม่  เลือกชนิดที่ทนน้ำมัน E85 ได้ มาตรฐาน SAE R7 หรือ R9

หมายเหตุ :   น้ำมันแก๊สโซฮอล E85  มีผลต่อท่อนำมันที่ทำด้วยยาง เสื่อมลงประมาณ 10-15% อ้างอิงงานวิจัยคณะวิศวกรรมศาสตร์สถาบันเทคโนฯ  พระจอมเกล้าลาดกระบัง

หลักการทำงาน HP Plus e85 Kit

ช่วยปรับจังหวะการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงของหัวฉีดใหม่ให้เหมาะสมกับแก๊สโซฮอล E85  หรือ E100
ช่วยให้การเผาไหม้สมบูรณ์ขึ้นโดยทำงานร่วมกับสมองกล ECU เดิมของรถ และระบบเซ็นเซอร์ต่าง ๆ
ของเครื่องยนต์ โดยไม่ต้องดัดแปลงขิ้นส่วน ต่าง ๆ  แตกต่างกับชุด LPG/NGV Kit  โดยทำหน้าที่รับคำสั่งที่ประมวลผลแล้วจากสมองกล ECU และเซ็นเซอร์ต่าง ๆ ของรถแล้วทำการขยายเวลาปิดหัวฉีดนานขึ้นเพื่อเพิ่มปริมาณการจ่ายน้ำมันเข้าห้องเผาไหม้  แต่ชุดKit  ของ LPG/NGV   จะทำการ หลอก ชุดสมองกลเดิมของรถยนต์ว่ากำลังจ่ายน้ำมันปกติ  แต่จริง ๆ แล้วจะปิดวงจรการทำงานของหัวฉีดน้ำมันแล้วจายแก๊สผ่านหัวฉีดชุดใหม่ของระบบแก๊สแทน   ซึ่งควบคุมการทำงานด้วยสมองกลชุดใหม่ของระบบแก๊ส  เมื่อใช้งานไปนาน ๆ จะมีปัญหารวนกับ ระบบสมองกล ECU  เดิม และเซ็นเซอร์ต่าง ๆ ของเครื่องยนต์ ซึ่งถูกออกแบบมาใช้กับเชื้อเพลิงที่เป็นของเหลวเท่านั้น  ทำให้เครื่องยนต์สึกหรอ เพราะอุณหภูมิห้องเผาไหม้สูงกว่าเบนซิน และแก๊สโซฮอล E85 มาก

ส่วน ชุด HP  PLUS E85 KIT  จะไม่ส่งผลเสียหายใด ๆ กับเครื่องยนต์เดิม และไม่เกิดความสึกหรอให้ห้องเผาไหม้วาล์วไอเสีย หรือฝาสูบแต่อย่างใด เพราะการเผาไหม้ของ E85 จะสมบูรณ์กว่าเบนซินหรือแก๊สโซฮอลเดิม  ช่วยลดคราบเขม่าค้างในห้องเผาไหม้ ซึ่งเป็นสาเหตุของการสึกหรอของเครื่องยนต์ จะสังเกตุเห็นปลายท่อมีคราบเขม่าน้อยมาก เมื่อใช้แก๊สโซฮอล E85   เครื่องยนต์กลับจะมีอายุทนนานขึ้น เพราะอุณหภูมิในห้องเผาไหม้ของน้ำมันแก๊สโซฮอล E85  จะต่ำกว่าเบนซิน และแก๊ส

(หมายเหตุ)  ค่าความร้อนแก๊ส   400 ,  เบนซิน  300,   E85  250

การรับประกัน

การรับประกันของรถยนต์เดิมจะไม่หมดไป  ถ้าใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล E85  โดยติดตั้ง ชุด KIT ที่มีคุณภาพและปรับตั้งส่วนผสมการเผาไหม้ให้ถูกต้อง ควรเลือกใช้ระบบปรับจูนค่าน้ำมันได้ จะดีกว่า ชุด KIT  ที่ เคลมว่า   เป็นระบบออโต้ และไม่มีสวิทซ์ปรับจูนน้ำมัน ซึ่งจะเกิดปัญหาส่วนผสมการจ่ายให้เครื่องยนต์หนา มากเกินความจำเป็น ซึ่งจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันและการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ (Knock)
เป็นเหตุให้เกิดการสึกหรอได้  ศูนย์บริการรถยนต์ส่วนมากจะตรวจสอบที่ดัดแปลงเฉพาะที่ดัดแปลงใช้ระบบเชื้อเพลิงแก๊ส LPG/NGV

รายชื่อ ปั๊ม E85

                                                                สถานนี E85 มี 47ปั้ม ณ.วันที่ 16/7/2555     
กทม.

  1. ปั้มปตท.บนทางด่วนบางนาขาออก
  2. ปั้มปตท.บนทางด่วนบางนาขาเข้า
  3. ปั้มปตท.สนามเป้า(ททบ 5) ถ.พหลโยธิน
  4. ปั้มปตท.ถนนเกษตร – นวมินทร์ บริเวณแยกลาดปลาเค้าาด
  5. ปั้มบางจาก กม.13 บางนา-ตราดขาออก(กิ่งแก้ว)
  6. ปั้มบางจาก ถ.นวมินทร์ (ระหว่างซอย นวมินทร์ 71-73)
  7. ปั้มบางจาก ถ.อาจณนรค์-รามอินทรา เลียบทางด่วนเอกมัย - รามอินทรา (ระหว่าง crystal park กับ โลตัส)
  8. ปั้มบางจากถ.พระบรมราชชนนี ตลิ่งชัน ขาออกก่อนถึงวงแหวน
  9. ปั้มบางจาก ถ.เพชรเกษม อ.อ้อมน้อย กระทุ่มแบน
  10. ปั้มบางจาก ถ.พระราม 2 อ.นาโคก มหาชัย
  11. ปั๊มบางจากเมืองสมุทรสาคร ถ.พระราม2 ขาเข้า อ.เมือง จ.สมุทรสาคร
  12. ปั้มบางจาก อ.บางพูน ปทุมธานี
  13. ปั้มบางจาก ถ.รามอินทรา กม,14
  14. ปั้มปตท (ซ.ลาดพร้าว71)ถ.นาคนิวาส ใกล้ ซ.นาคนิวาส 30
  15. ปั้มบางจาก วิภาวดี-รังสิต ขาออก ติด ม.กรุงเทพ (รังสิต)
  16. ปั้มบางจาก ประชาชื่น ริมคลองประปา ตรงข้าม ม.ธุรกิจบัณฑิต
  17. ปั้มบางจาก กม.22 บางนา-ตราดขาเข้า(ตรงข้าม Yamaha)
  18. ปั้มบางจาก ลาดพร้าว 111 ข้าง โรงพยาบาลเวชธานี
  19. ปั้มบางจากเทียมร่วมมิตร ตรงข้ามกับโรงละครสยามนิรมิตร
  20. ปั๊มบางจากสุวินทวงศ์ ถ.สุวินทวงศ์ เขตหนองจอก กทม.
  21. ปั๊มบางจากจรัญสนิทวงศ์ ถ.จรัญสนิทวงศ์ เขตบางพลัด กทม.
  22. ปั๊มบางจากบางบัวทอง 3 ถ.บางบัวทอง-ไทรน้อย เขตบางบัวทอง นนทบุรี
  23. ปั๊มบางจากใกล้กระทรวงพลังงาน ถ.วิภาวดีรังสิตขาออก เขตลาดพร้าว กทม.
  24. ปั๊มบางจากก่อนถึงโรงแรมRama Garden ถ.วิภาวดีรังสิตขาเข้า เขตลาดพร้าว กทม.
  25. ปั๊มบางจากแยกแคราย ถ.ติวานนท์ อ.เมือง จ.นนทบุรี
  26. ปั๊มบางจาก ถ.ศรีณครินทร์ ตรงข้ามMakro
  27. ปัมบางจาก พัฒนาการ 34



ต่างจังหวัด
  1. โคราชปั้มปตท.สาขาเพื่อสวัสดิการกองบิน 1 ถ.ราชสีมา-ปักธงชัย ต.หนองไผ่ล้อม โคราช
  2. ชลบุรีบายพาสปั้มปตท.สาขาแหลมฉบัง (ขาเข้า) ต.หนองแขม อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี (แหลมฉบัง ไป-->ศรีราชาอยู่ก่อนถึงสะพานลอยสวนเสือ ซ้ายมือ ประมาณ 3 โล)
  3. ชลบุรีบายพาสปั้มปตท.สาขาแหลมฉบัง (ขาออก) ต.หนองแขม อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี (
  4. เชียงใหม่ปั้มบางจาก ใกล้แยกสนามบิน/นิยมพาณิช
  5. ปั้มบางจาก ขอนแก่น ถ.มิตรภาพ ขาออกประมาณ8ก.ม
  6. ปั้มบางจาก อยุธยา  สายเอเซีย กม.62
  7. ปั้มบางจาก ชลบุรี ขาเข้าจากหนองมน-ชลบุรี ตรงข้าม แฮปปี้เวิลด์
  8. ปั้มบางจาก โคราช ถนนชลประทาน-ตะวันแดง (ใกล้ร้านอาหารกระต่ายขาวซีฟู้ด)
  9. ปั้มบางจาก หาดใหญ่ ถ.เพชรเกษม (สี่แยกสะพานดำ)
  10. ปั้มบางจาก สนามบิน สุราษฎ์ธานี
  11. นครปฐม-น้ำมันบางจาก – นครชัยศรี 2 สายปิ่นเกล้า-นครชัยศรี ตลิ่งชัน
  12. ปั้มปตท ภูเก็ต ต.ศรีสุนทร อ.ถลาง (บ้านพอน)
  13. ปั๊มปตท. ถ.เพชรเกษม ต.ห้วยโรง อ.เขาย้อย จ.เพชรบุรี หลัก กม.ที่ 128
  14. ปั๊มบางจากแก่งคอย ถ.มิตรภาพ อ.แก่งคอย จ.สระบุรี
  15. ปั๊มบางจากถนนพหลโยธินฝั่งขาออก อ.นองแซง จ.สระบุรี แถวๆโรงงาน CP เมจิ
  16. เชียงใหม่บางจากปั้มที่2 ใกล้ Makro สาย Super เชียงใหม่-ลำปาง

เร็วๆนี้
  1. ปั้มบางจาก กำแพงเพชร ถ.สายเอเซีย อ.คลองขลุง (กรกฏาคม’55)
  2. มุกดาหาร
  3. ปั้มบางจากประชาอุทิศ55
  4. ปั้มบางจากพิษณุโลก

บางจากผู้นำ น้ำมัน E85 ของเอเชีย

บางจากฯ ขยาย E85 ขานรับไทยผู้นำอันดับ 1 ในเอเชีย
16/12/53
เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2553 นายแพทย์วรรณรัตน์ ชาญนุกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ให้เกียรติเป็นประธานในการเปิดจำหน่ายน้ำมันบางจากแก๊สโซฮอล์ E85 ตอกย้ำประเทศไทยเป็นผู้นำอันดับ 1 ในเอเชีย โดยมีผู้บริหารระดับสูงจากกระทรวงพลังงาน และผู้บริหารระดับสูงบริษัท บางจากฯ เข้าร่วมงาน ณ สถานีบริการน้ำมันบางจาก สาขาบางนา กม.13

ดร.อนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 ได้รับความนิยมและใช้กันอย่างแพร่หลายในประเทศต่างๆ หลายทวีปทั่วโลก เช่น สหรัฐอเมริกา บราซิล สวีเดน ฝรั่งเศส เยอรมัน อังกฤษ นอร์เวย์ สเปน ออสเตรเลีย เป็นต้น ส่วนไทยเป็นประเทศเดียวในทวีปเอเชีย ที่จำหน่ายแก๊สโซฮอล์ E85 ในเชิงพาณิชย์ อีกทั้งยังมีส่วนต่างของราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 มากถึง 40% เมื่อเปรียบเทียบกับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 ทำให้มีการใช้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนตุลาคม 2553 มียอดการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 มากกว่า 8,300 ลิตรต่อวัน หรือประมาณ 250,000 ลิตรต่อเดือน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนเกือบ 8 เท่า

สำหรับสถานีบริการน้ำมันบางจาก สาขาบางนา กม.13 แห่งนี้ ได้เปิดจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 เป็นสาขาที่ 5 เพิ่มจากสาขาคู่ขนานอาจณรงค์-รามอินทรา สาขาปิ่นเกล้า-นครชัยศรี สาขาสุขาภิบาล 1 (2) และสาขามหิดล จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีเป้าหมายจะขยายเพิ่มขึ้นอีก 10 แห่ง ในปี 2554 และคาดว่าภายในปี 2557 จะขยายเพิ่มเป็น 50 แห่ง เพื่อสนองความต้องการใช้ที่มากขึ้น เนื่องจากรัฐบาลให้การสนับสนุนโดยนำมาตรการภาษีจูงใจให้มีการผลิตและนำเข้ารถยนต์ที่ใช้น้ำมัน E85 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการใช้พลังงานทดแทน 15 ปี ของกระทรวงพลังงาน ที่ตั้งเป้าหมายจะเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนในประเทศจากร้อยละ 6.4 เป็นร้อยละ 20 ในปี 2565

อนึ่ง การใช้น้ำมันบางจากแก๊สโซฮอล์ในปี 2553 สามารถลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อนได้ 70,000 ตันต่อปี ตามวิสัยทัศน์ “Greenergy Excellence” ที่ “สร้างสรรค์ธุรกิจพลังงานอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” โดยมีจุดมุ่งหมายสู่การเป็นบริษัทที่มีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซค์สุทธิเป็นศูนย์ หรือ Carbon Neutral Company

------------------------------------------------------------------------------------------------------------

คุณค่า ของ อุปกรณ์ติดตั้ง E85

คุณค่า อุปกรณ์ติดตั้ง E85
ระบบเชื้อเพลิงแปรผัน(ACE kit) สามารถใช้ได้กับน้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่ว, แก๊สโซฮอล์ 91,แก๊สโซฮอล์ 95, E20 และ E85 จนถึง เอทานอล100 % ระบบถูกออกแบบมาสำหรับเครื่องยนต์เบนซิน ด้วยนวัตกรรมของเทคโนโลยีระบบเชื้อเพลิงแปรผัน จะสามารถตรวจสอบพบ ไม่ว่าคุณจะเติมน้ำมันเบนซินธรรมดา หรือน้ำมันแก๊สโซฮอล์ หรือทั้งสองอย่างผสมกัน ระบบเชื้อเพลิงแปรผัน (ACE kit) จะทำให้คุณสามารถเลือกใช้น้ำมันเชื้อเพลิงได้เหมาะสมตามสมรรถนะ, ราคา และที่สามารถหาเติมได้ในท้องตลาด หลังจากที่ติดตั้งชุดระบบเชื้อเพลิงแปรผัน (ACE kit) เข้าไปในรถยนต์ ระบบจะทำงานโดยอัตโนมัติ โดยที่ไม่จำเป็นต้องทำการเลือกน้ำมันเชื้อเพลิง หรือตั้งค่าใดๆทั้งสิ้น ไม่ว่าส่วนผสมของแก๊สโซฮอล์ที่มีอยู่ในน้ำมันจะเป็นเท่าไหร่ก็ตาม (ตั้งแต่น้ำมันเบนซินทั่วไป จนถึงแก๊สโซฮอล์ E85 ) ระบบเชื้อเพลิงแปรผัน (ACE kit) สามารถปรับใช้กับรถยนต์แทบทุกชนิดที่มีระบบหัวฉีด อีเลกโทรนิคแบบหลายจุด (MPI, MPFI) ซึ่งมีขายอยู่ในตลาดปัจจุบันให้กลายเป็นรถยนต์พลังงานทางเลือกเต็มรูปแบบ
การสตาร์ทขณะเครื่องเย็นมาก: ระบบเชื่อเพลิงแปรผัน (ACE kit) จะทำงานโดยอัตโนมัติ โดยใช้ข้อมูลจากเซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิ เพื่อปรับการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้เหมาะสมกับเครื่องยนต์ ดังนั้นในขณะเครื่องยนต์ยังไม่ร้อน จึงมีปัญหาจากการใช้แก๊สโซฮอล์ E85 น้อยมาก เมื่อทำการสตาร์ทรถยนต์ ในขณะที่อุณหภูมิเครื่องยนต์เย็นมาก (ปัญหานี้มักจะพบเมื่ออุณหภูมิภายนอกต่ำกว่า 0°c)
ปลั๊กหัวฉีด : ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนปลั๊กหัวฉีดที่ติดมากับรถยนต์ (รถยนต์ที่ผลิตตั้งแต่ปี 1990) เพื่อใช้กับระบบเชื่อเพลิงแปรผัน (ACE kit)
หัวเทียน : ไม่จำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนหัวเทียนที่ติดมากับรถของท่านไปเป็นแบบที่ใช้กับแก๊สโซฮอล์ E85 ดังนั้นหัวเทียนเดิมสามารถทำงานได้กับแก๊สโซฮอล์ โดยไม่ก่อให้เกิดการทำงานผิดพลาดและความเสียหายใดๆให้กับเครื่องยนต์
ปั้มน้ำมันเชื้อเพลิง : ปั้มน้ำมันเชื้อเพลิงในตลาดมีหลายรูปแบบ และด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้จึงมีบางประเภทที่สามารถทนทานต่อการใช้แก๊สโซฮอล์ล E85 แต่อย่างไรก็ตามเราแนะนำ ให้ท่านปรึกษาช่างผู้ชำนาญการเพื่อทำการวิเคราะห์ปั้มน้ำมันเชื้อเพลิงของท่านโดยที่ช่างผู้ชำนาญการจะสามารถระบุได้ว่าท่านจำเป็นต้องเปลี่ยนปั้มน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อให้เหมาะสมกับการใช้แก๊สโซฮอล์ E85 หรือไม่ การเปลี่ยนปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงจะไม่ทำความเสียหาย ให้กับรถยนต์ของท่าน แต่ช่วยให้ท่านสามารถใช้เชื้อเพลิงได้หลากหลาย โดยไม่ก่อให้เกิดการเสื่อมสภาพของปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิง
ไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิง : ขอแนะนำให้ท่านทำการเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิงทันที หลังจากติดตั้งระบบเชื้อเพลิงแปรผัน (ACE kit) และใช้งานแล้วเป็นระยะ 1,000 กิโลเมตร เนื่องจากแก๊สโซฮอล์จะทำการชะล้างสิ่งสกปรกที่อาจมีอยู่ในถังน้ำมันเชื้อเพลิง
กำลังอัดของเครื่องยนต์ : ไม่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนกำลังอัดของเครื่องยนต์ใดๆทั้งสิ้น เมื่อทำการติดตั้งระบบเชื้อเพลิงแปรผัน (ACE kit)
เครื่องยนต์ : การปรับเปลี่ยนรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินไปเป็นรถยนต์พลังงานทางเลือก(FFV) ด้วยระบบเชื้อเพลิงแปรผัน (ACE kit) จะไม่ก่อให้เกิดความเสียหายใดๆกับเครื่องยนต์ และ ชิ้นส่วนต่างๆ นอกจากนี้ยังไม่พบการสึกหรอใดๆมากกว่าปกติ
ในความเป็นจริงแล้ว ในหลายๆกรณีการใช้แก๊สโซฮอล์ E85 ยังช่วยยืดอายุของเครื่องยนต์ เนื่องจากการเผาไหม้ได้หมดจดกว่า ยิ่งไปกว่านั้นยังทำให้เครื่องยนต์เดินเรียบ และ ช่วยลดการเสียดสีภายในเครื่องยนต์ ไม่ว่าจะเป็นหัวเทียน, ลูกสูบ และวาล์วต่างได้รับประโยชน์จากการเผาไหม้ที่สมบูรณ์ของแก๊สโซฮอล์ E85
ในหลายๆประเทศได้ทำการผสมแก๊สโซฮอล์เข้าไปในน้ำมันเบนซินบ้างแล้ว (โดยสัดส่วนขึ้นอยู่กับกฎหมายในแต่ละประเทศ) ดังนั้นหัวฉีด, หัวเทียน และ ชิ้นส่วนต่างๆของเครื่องยนต์น่าจะได้รับการปรับปรุงให้เหมาะสมกับแก๊สโซฮอล์ เพื่อที่จะทำการติดตั้งระบบเชื่อเพลิงแปรผัน (ACE kit) ให้ได้ผลสมบูรณ์ เครื่องยนต์และชิ้นส่วนต่างๆจำเป็นต้องอยู่ในสภาพที่ทำงานได้ดี
สมรรถนะ : รถยนต์ที่ใช้พลังงานทางเลือก จะมีกำลัง, อัตราเร่ง, การรับน้ำหนัก และ การขับขี่ที่ดีกว่าหรือ เท่าเดิมเมื่อเทียบกับรถยนต์ทั่วไป นอกจากนี้แก๊สโซฮอล์ E85 ยังมีข้อดีอีกหลายอย่างเช่น มีค่าพลังงาน (Octane) มากกว่าน้ำมันเบนซิน ซึ่งช่วยลดการสั่นสะเทือนของเครื่องยนต์เป็นผลให้ใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า
เแก๊สโซฮอล์ E85 ยังช่วยดูดซับความชื้นในระบบน้ำมันเชื้อเพลิงช่วยลดการแข็งตัวของน้ำมัน เชื้อเพลิง โดยไม่จำเป็นจะต้องเติมสารปรับปรุงคุณภาพน้ำมันที่อาจก่อให้เกิดอันตรายใดๆ ทั้งสิ้น
ยิ่งไปกว่านั้นแก๊สโซฮอล์ E85 ยังมีสารที่ช่วยทำความสะอาดเครื่องยนต์ ทำให้ลดการสะสมของเขม่าที่เกิดจากการเผาไหม้ ช่วยให้เครื่องยนต์เดินเรียบ และ ทำความสะอาดระบบหัวฉีดน้ำมันเชื้อเพลิง ทำให้ได้สมรรถนะที่ดีกว่า
ปริมาณมลภาวะ : มลภาวะที่เกิดขึ้นเปลี่ยนแปลงตามชนิดของเครื่องยนต์ ดังนั้นตัวเลขด้านล่างใช้เพื่อแสดงให้เห็นว่า การใช้แก๊สโซฮอลล์นั้นช่วยลดมลภาวะได้อย่างไรเมื่อเทียบกับเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซิน (แหล่งที่มา: EPA)
ก่อให้เกิดสารพิษน้อยกว่า
ก่อให้เกิดสารพิษน้อยกว่า ปริมาณคาร์บอนมอนออกไซด์น้อยกว่าถึง 40%
ปริมาณฝุ่นผงน้อยกว่าถึง 20%
ปริมาณไนโตรเจนออกไซด์น้อยกว่าถึง 10%
ปริมาณซัลเฟต น้อยกว่าถึง 80%

น้ำมันเบนซินคืออะไร?
น้ำมันเบนซินเป็นที่รู้จักกันในชื่อ Aliphatic Hydrocarbon หรือก็คือโมเลกุลที่ประกอบไปด้วย
ไฮโดรเจน (Hydrogen) และ คาร์บอน (Carbon) ที่ต่อกันเป็นสายโซ่ โมเลกุลของน้ำมันเบนซิน
จะมีคาร์บอน 11 ตัวในแต่ละสายโซ่ นี่คือตัวอย่างของโมเลกุล Hydrocarbon (ประกอบไปด้วยไฮโดรเจนและคาร์บอน)
ที่ต่อกันเป็นสายโซ่



_______________ชนิดของโมเลกุลต่างๆ ที่พบในน้ำมันเบนซิน_____________

เมื่อคุณทำการเผาไหม้น้ำมันเบนซินภายใต้สภาวะอุดมคติ คือมีปริมาณออกซิเจน (Oxygen) มากเพียงพอ จะได้ก็าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) (ซึ่งก็มาจากคาร์บอนอะตอมในน้ำมันเบนซิน) และได้น้ำ (จากไฮโดรเจนอะตอม) และพลังงานความร้อนปริมาณมาก ประมาณว่าน้ำมันเบนซิน 1 แกลลอน จะให้พลังงานได้ 132x106 จูล ซึ่งเท่ากับ 125,00 BTU หรือ 36,650 วัตต์-ชั่วโมง
หากยังนึกปริมาณของพลังงานดังกล่าวไม่ออก เราพอจะประมาณได้ว่า
- ทำการเปิดใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า ประเภทที่ให้ความร้อนอย่าง ฮีตเตอร์ ขนาด 1,500 วัตต์ ตลอดเวลาเป็นเวลา 24 ชม. นั่นคือปริมาณความร้อนที่จะได้จากการเผาไหม้น้ำมันเบนซิน 1 แกลลอน  
- ถ้าสมมติว่าคนเราสามารถย่อยน้ำมันเบนซินได้ น้ำมันเบนซินจะมีพลังงานสูงถึง 31,000 แคลอรี หรือเท่ากับการกินแฮมเบอร์เกอร์ของ McDonalds ประมาณ 110 ชิ้น!

น้ำมันเบนซินมาจากไหน?
น้ำมันเบนซิน ผลิตมาจากน้ำมันดิบ (crude oil) น้ำมันดิบนี้จะถูกดูดขึ้นมาจากพื้นโลก มีลักษณะเป็นของเหลวสีดำเรียกว่า ปิโตเลียม (Petroleum) ของเหลวชนิดนี้ประกอบไปด้วยไฮโดรคาร์บอน (Hydrocarbon) และคาร์บอนอะตอมในน้ำมันดิบจะเชื่อมต่อกันเป็นสายโซ่ที่มีความยาวแตกต่างกัน โมเลกุลของไฮโดรคาร์บอนที่มีความยาวแตกต่างกันนั้น จะมีคุณสมบัติและพฤติกรรมที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น สายโซ่ที่มีคาร์บอนเพียง 1 อะตอม (CH4) จะเป็นโซ่ที่เบาที่สุด ซึ่งก็คือ มีเทน (Methane) มีเทนเป็นก๊าซที่มีน้ำหนักเบามาก สามารถลอยได้พอๆ กับ ฮีเลียม (Helium) และเมื่อสายโซ่มีความยาวมากขึ้น มันก็จะมีน้ำหนักมากขึ้นด้วย สายโซ่ 4 สายแรกคือ CH4 (Methane), C2H6 (Ethane), C3H8 (Propane) และ C4H10 (Butane) ทั้งหมดนี้จะอยู่ในรูปของก๊าซ และมีจุดเดือดอยู่ที่ -161, -88, -46 และ -1 องศาฟาเรนไฮด์ตามลำดับ (หรือ -107, -67, -43 และ -18 องศาเซลเซียส) สายโซ่ที่มีความยาวมากขึ้นถึง C18H32 จะมีสถานะเป็นของเหลวที่อุณหภูมิห้อง และสายโซ่ที่มีคาร์บอนอะตอมมากกว่า 19 ตัวขึ้นไปจะมีสถานะเป็นของแข็งที่อุณหภูมิห้อง
ด้วยความแตกต่างของความยาวของสายโซ่นี้จะมีผลต่อจุดเดือดของมันด้วย โดยสายโซ่ที่มีความยาวมาก
ก็จะมีจุดเดือดที่สูงขึ้นด้วย ดังนั้นเราสามารถแยกสายโซ่แต่ละความยาวออกจากกันได้โดยการ "กลั่น" โดยการกลั่นในลักษณะนี้อยู่ในรูปของ "การกลั่นน้ำมัน" (Oil Refinery) โดยน้ำมันดิบจะได้รับความร้อนและสายโซ่ที่มีความยาวแตกต่างกันจะถูกดึงออกมาตามลำดับของช่วงอุณหภูมิในการกลายเป็นไอของมัน สายโซ่ที่มีคาร์บอนอะตอม 5, 6 และ 7 จะมีน้ำหนักเบาและสามารถกลายเป็นไอได้ง่าย ของเหลวเหล่านี้เรียกว่า Naphthas ซึ่งใช้เป็นตัวทำละลายในน้ำยาซักแห้ง, ตัวทำละลายในสีทำให้แห้งเร็ว และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ต้องการการระเหยที่เร็ว สายโซ่ที่มีคาร์บอนอะตอม 7 ตัว (C7H16) ถึง 11 ตัว (C11H24) จะถูกนำมาผสมกันและใช้เป็นน้ำมันเบนซิน (Gasoline) ซึ่งจะมีการระเหยกลายเป็นไอที่อุณหภูมิต่ำกว่าจุดเดือดของน้ำ นั่นคือเหตุผลว่าถ้าคุณทำน้ำมันเบนซินหกบนพิ้น ทำไมมันถึงระเหยไปได้เร็วนัก
ถัดมาคือ คีโรซีน (Kerosene) อยู่ในช่วงที่มีคาร์บอนอะตอม 12 ถึง 15 ตัว จะนำไปใช้ทำน้ำมันดีเซล (Diesel fuel) และน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับงานหนัก
สำหรับน้ำมันหล่อลื่น น้ำมันพวกนี้จะมีการกลายเป็นไอที่ต่ำกว่าในสภาพอุณหภูมิปกติ ยกตัวอย่างเช่น น้ำมันเครื่องยังคงสามารถทำงานได้ดีตลอดทั้งวันภายใต้อุณหภูมิ 250 องศาฟาเรนไฮด์ (หรือ 121 องศาเซลเซียส) โดยไม่เกิดการระเหยกลายเป็นไอ
น้ำมันมีตั้งแต่น้ำมันที่เบาบางมากๆ ไปจนถึงน้ำมันเครื่องที่มีความหนา และหนามากๆ ในน้ำมันเกียร์ ไปจนถึงกึ่งของแข็งอย่างพวกที่มีลักษณะเป็นไข, วาสซาลีน (Vasoline) เป็นต้น
ในสายโซ่ที่มีคาร์บอนอะตอมมากกว่า 20 ตัวจะอยู่ในรูปของแข็งอย่างเช่น ไขขี้ผึ้ง ยางมะตอยซึ่งนิยมนำมาทำเป็นผิวถนนทั้งหมดนี้คือความแตกต่างของสารประกอบต่างๆ ที่ได้จากน้ำมันดิบ ซึ่งแตกต่างกันเพียงของความยาวสายโซ่คาร์บอนเท่านั้น!
ออกเทน (Octane) คืออะไร?
หากคุณพอจะทราบเกี่ยวกับเครื่องยนต์ของรถยนต์อยู่บ้าง คุณจะรู้ว่ารถยนต์ส่วนใหญ่จะใช้เครื่องยนต์เบนซิน
แบบ 4 จังหวะ โดยในจังหวะหนึ่งที่มีการอัด (compression stroke) ภายในกระบอกสูบจะเต็มไปด้วยอากาศและก๊าซซึ่งถูกอัดให้มีปริมาตรเล็กๆ ก่อนการจุดระเบิดด้วยหัวเทียน ปริมาณของการอัดตัวนี้เรียกว่า อัตราส่วนการอัด (compression ratio) ของเครื่องยนต์ โดยเครื่องยนต์โดยทั่วๆ ไปจะมีอัตราส่วนการอัดอยู่ที่ 8:1
ปริมาณออกเทน (Octane) ของน้ำมันเบนซินจะเป็นตัวบอกว่า น้ำมันเชื้อเพลิงสามารถถูกบีบอัดก่อนที่จะเกิดการจุดระเบิดด้วยตัวเองได้มากน้อยแค่ไหน เมื่อก๊าซภายในกระบอกสูบเกิดการจุดระเบิดด้วยตัวเองก่อนที่จะถูกจุดระเบิดด้วยหัวเทียน เราเรียก
อาการดังกล่าวว่า เครื่องยนต์น็อก (Knocking) การน็อกของเครื่องยนต์จะทำให้เครื่องยนต์เกิดความเสียหายได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่อยากให้เกิดขึ้น ปริมาณออกเทนที่ต่ำ (อย่าง น้ำมันเบนซิน ที่มีค่าออกเทน 87) ความสามารถในการอัดตัวจะทำได้น้อยมากก่อนจะทำการจุดระเบิด
อัตราส่วนการอัดของเครื่องยนต์สามารถบอกค่าออกเทนของน้ำมันที่เครื่องยนต์สามารถใช้งานได้อย่างปกติได้ และวิธีหนึ่งที่จะเพิ่มแรงม้า (Horsepower) ให้กับเครื่องยนต์ก็คือการเพิ่มอัตราส่วนการอัดให้มากขึ้น
ดังนั้นเครื่องยนต์ที่มีสมถณะสูง (High Performance Engine) จะมีอัตราส่วนการอัดที่สูงขึ้น และต้องใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีค่าออกเทนสูงขึ้นตามไปด้วย ข้อดีของการที่มี่อัตราส่วนการอัดที่สูงขึ้นคือจะทำให้เครื่องยนต์ของคุณมีแรงม้ามากขึ้นเมื่อเทียบกับน้ำหนักเครื่องยนต์ และนั่นคือแนวความคิดในการสร้างเครื่องยนต์สมถณะสูง (High Performance) แต่ข้อเสียของเครื่องยนต์ที่มีอัตราส่วนการอัดสูงๆ คือค่าใช้จ่ายสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่สูงขึ้นตามไปด้วย
คำว่า "ออกเทน (Octane)" มาจากความจริงที่ว่า เมื่อทำการกลั่นน้ำมันดิบ ผลลัพธ์ที่ได้คือสายโซ่ของ Hydrocarbon ที่มีความยาวแตกต่างกัน ความแตกต่างของสายโซ่เหล่านี้สามารถแยกออกจากกันและนำมาผสมกันจนได้น้ำมันเชื้อเพลิงต่างๆ กัน ยกตัวอย่างเช่น มีเทน (Methane), โพเพน (Propane) และ บิวเทน (Buthane) ซึ่งทั้งหมดคือ Hydrocarbon โดยมีเทนจะมีคาร์บอนอะตอมเพียงตัวเดียว, โพเพนมีคาร์บอนอะตอม 3 ตัวที่ต่อกันเป็นสายโซ่, บิวเทนมี 4 ตัว, เพนเทน (Pentane) มี 5 ตัว, เฮกเซน (Hexane) มี 6 ตัว, เฮปเทน (Heptane) มี 7 ตัว และ ออกเทน (Octane) มีคาร์บอนอะตอม 8 ตัวที่ต่อกันเป็นสายโซ่
การอัดตัวของ เฮปเทน (Heptane) ต่ำมาก เมื่อนำมาอัดตัวเพียงเล็กน้อยแล้วจะเกิดการจุดระเบิดด้วยตัวของมันเอง แต่เมื่อนำ ออกเทน (Octane) มาอัดตัว ออกเทนจะมีการอัดตัวที่ดีกว่า กล่าวคือสามารถอัดตัวได้มากๆ โดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น น้ำมันเบนซินที่มีค่าออกเทน 87 ก็คือน้ำมันเบนซินที่ประกอบด้วย ออกเทน 87% และ เฮปเทน 13% (หรืออาจจะมีสารประกอบตัวอื่นๆ ที่ผสมเข้ากับน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อให้มีประสิทธิภาพเท่ากับ 87/13 ของ ออกเทน/เฮปเทน) การจุดระเบิดด้วยตัวเองจะเกิดขึ้นที่การอัดตัวอยู่ระดับหนึ่ง ดังนั้นเครื่องยนต์ที่สามารถใช้ได้จะต้องมีอัตราส่วนการอัดตัวไม่ต่ำกว่าระดับนั้น (ถ้าต่ำกว่าก็จะเกิดอาการ Knocking)
สารที่เติมเข้าไปในน้ำมันเบนซิน
ในระหว่างช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 มีการค้นพบว่า สามารถเติมสารเคมีที่เรียกว่า tetraethyl lead ลงไปในน้ำมันเบนซินได้ซึ่งเป็นการเพิ่มค่าออกเทนให้สูงขึ้นได้อย่างมาก ทำให้ต้นทุนการผลิตน้ำมันเบนซินถูกลง ด้วยการเติมสาร "ethyl" หรือ "สารตะกั่ว (leaded)" ในน้ำมันเบนซิน ซึ่งนิยมใช้กันอย่างกว้างในขณะนั้น แต่ด้วยการเติมสารตะกั่วลงไปในน้ำมันเบนซิน ทำให้มีผลกระทบที่อันตรายดังนี้
- สารตะกั่วจะถูกกักไว้ที่ตัวกรองไอเสียของเครื่องยนต์ (Catalytic Converter) ซึ่งไม่สามารถทำการกรองสารตะกั่วไว้ได้ และจะถูกปล่อยออกมาภายในไม่กี่นาที
- โลกถูกปกคลุมไปด้วยชั้นของตะกั่วบางๆ ซึ่งตะกั่วเป็นพิษแก่สิ่งมีชีวิตหลายชนิดบนโลก รวมทั้งมนุษย์ด้วย
เมื่อสารตะกั่วถูกยกเลิกให้ใช้ น้ำมันเบนซินจึงมีราคาสูงขึ้นเพราะการกลั่นไม่สามารถเพิ่มค่าออกเทนให้กับน้ำมันที่มีเกรดต่ำลงได้ แต่สำหรับเครื่องบินยังคงอนุญาตให้ใช้น้ำมันเบนซินที่มีสารตะกั่ว ซึ่งมีค่าออกเทนอยู่ที่ 115 โดยใช้กับเครื่องบินที่ใช้เครื่องยนต์ลูกสูบประเภท (Super High Performance piston) ในการเผ่าไหม้
สารอีกชนิดหนึ่งที่เข้ามาแทนสารตะกั่วคือสารที่ชื่อว่า MTBE โดย MTBE ย่อมาจาก Methyl Tertiary Butyl Ether ซึ่งก็คือโมเลกุลที่ถูกสร้างมาจาก Methanol
การใช้ MTBE เข้ามาเติมในน้ำมันเบนซินมีอยู่ 2 เหตุผลด้วยกันคือ
- มันช่วยให้ค่าออกเทนสูงขึ้น
- มันจะใส่ออกซิเจนเข้าไป หมายความว่ามันจะเพิ่มออกซิเจนเข้าไปในปฏิกิริยาเมื่อเกิดการเผาไหม้ โดยในสภาวะที่เป็นอุดมคติ ออกซิเจนจะลดการเกิดการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ของ Hydrocarbon และลดการเกิดคาร์บอนมอนนอกไซด์ (CO)
MTBE เริ่มนำเข้ามาใส่ในน้ำมันเบนซินหลังจากงาน Clean Air Act ในปี ค.ศ.1990 ในน้ำมันเบนซินจะมี MTBE อยู่ประมาณ 10% ถึง 15%
ปัญหาหลักของการใช้ MTBE คือมันเป็นสารที่ก่อให้เกิดมะเร็ง (carcinogenic) และมันผสมได้ง่ายกับน้ำ หากถังบรรจุน้ำมันเบนซินที่มี MTBE ใต้ดินเกิดการรั่วขึ้น มันสามารถแพร่เข้าสู่แหล่งน้ำใต้ดิน และเกิดการปนเปื้อนได้อย่างง่ายดาย และแน่นอนว่าในน้ำมันไม่ได้มีเพียงสาร MTBE ตัวเดียวเท่านั้นที่จะลงสู่แหล่งน้ำ
สารที่จะมาแทน MTBE ในน้ำมันเบนซินนั่นก็คือ เอทานอล (Ethanol) เอทานอลก็คือแอลกอฮอล (Alcohol) ธรรมดาๆ นี่เอง แม้มันมีราคาแพงกว่า MTBE มาก แต่ก็ไม่เป็นสารที่ก่อให้เกิดมะเร็ง
ปัญหาของน้ำมันเบนซิน
ผลจากการเผาไหม้ในเครื่องยนต์น้ำมันเบนซินจะพบปัญหาอยู่ 2 ข้อ ข้อแรกคือผลของการเผาไหม้จะทำให้เกิดกลุ่มหมอกควันในเมืองใหญ่ๆ และข้อสองคือผลที่ได้จะอยู่ในรูปของคาร์บอนและก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse gases)
เมื่อรถยนต์เผาไหม้น้ำมันเบนซิน ซึ่งในทางทฤษฎีแล้วมันจะเกิดการเผาไหม้อย่างสมบูรณ์ ผลที่ได้จะไม่มีอะไรมากไปกว่า คาร์บอนได้ออกไซด์ (CO2) และน้ำ แต่ในความเป็นจริงแล้วพบว่า เครื่องยนต์เผาไหม้ภายใน (Internal Combustion Engine) ไม่เกิดการเผาไหม้ที่สมบูรณ์ ในกระบวนการเผาไหม้น้ำมันเบนซินนั้น มันจะเกิด
- คาร์บอนมอนนอกไซด์ (Carbon monoxide - CO) ซึ่งเป็นก๊าซพิษ
- ไนโตรเจนออกไซด์ (Nitrogen oxides) ซึ่งเป็นตัวการที่ทำให้เกิดกลุ่มหมอกควันในตัวเมือง
- Hydrocarbons ที่ไม่เกิดการเผาไหม้
ตัวกรองไอเสีย (Catalytic converters) จะกำจัดมลภาวะเหล่านี้ได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น มลภาวะทางอากาศจากรถยนต์และโรงไฟฟ้ายังคงเป็นปัญหาหลักของเมืองใหญ่
คาร์บอน ยังคงเป็นปัญหาภายหลังจากการเผาไหม้ มันจะออกมาในรูปของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ น้ำมันเบนซินประกอบด้วยคาร์บอนเป็นส่วนใหญ่ ประมาณว่าการเผาไหม้น้ำมันเบนซิน 1 แกลลอนจะปล่อยคาร์บอนออกมาประมาณ 5 ถึง 6 ปอนด์ (หรือ 2.5 กิโลกรัม) สู่บรรยากาศ ในสหรัฐอเมริกาจะมีปริมาณคาร์บอนที่ถูกปล่อยสู่บรรยากาศประมาณ 20,000 ล้านปอนด์ในแต่ละวัน
ถ้าอธิบายง่ายๆ โดยให้คาร์บอนอยู่ในรูปของแข็ง ซึ่งสามารถมองเห็นได้ชัดเจน มันจะเหมือนกับการปาถุงน้ำตาลขนาด 5 ปอนด์ออกจากหน้าต่างรถยนต์ในทุกๆ การเผาไหม้น้ำมันเบนซิน 1 แกลลอน เพียงแต่คาร์บอน 5 ปอนด์นั้นมันอยู่ในรูปก๊าซที่เรามองไม่เห็นนั่นก็คือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (carbon dioxide) ซึ่งพวกเราแทบทุกคนสัมผัสกับมันเป็นประจำทุกวันโดยไม่รู้ตัว ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถูกปล่อยออกมาจากท่อไอเสียรถยนต์ทุกวัน ก๊าซนี้เป็นก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse gas) ผลกระทบที่รุนแรงยังไม่ทราบได้ในขณะนี้ แต่มันมีผลอย่างมากต่อการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศของโลก ยกตัวอย่างเช่น ระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้นจนเกิดน้ำท่วม หรือเกิดการทำลายเมืองตามแนวชายฝั่ง ด้วยเหตุผลนี้ จึงมีการพยายามหาเชื้อเพลิงที่จะมาแทนน้ำมันเบนซินในอนาคต นั่นก็คือ ไฮโดรเจน (Hydrogen)


ขอขอบคุณข้อมูลจาก มหาวิทยาลัยนเรศวร

E85 ใน รถใหม่

แม้จะมาช้าไปสักนิดเมื่อมองนโยบายของรัฐบาลที่ผลักดันน้ำมันทางเลือก  E85 ตั้งแต่ปีมะโว้ แต่ด้วยสถานการณ์ราคาน้ำมันในปัจจุบัน ที่ราคาพลังงานต่างดาหน้าสูงขึ้น พลังงานทางเลือกตัวนี้ก็เริ่มกลับมากล่าวถึงมากขึ้น ทั้งคนใช้รถ ปั้ม หรือแม้กระทั่งค่ายผู้ผลิตรถยนต์ ต่างเริ่มตอบสนองอย่างชัดเจน
                ลิตรละ 21.78 ถือเป็นราคาที่ยังต่างจากพลังงานทางเลือกยอดฮิตอย่างแก๊ส LPG  หรือ  NGV  แต่ในขณะที่น้ำมัน E85 ให้ข้อเสนอที่ดีกว่าในเรื่องการไม่ต้องดัดแปลงรถยนต์ไปติดตั้งให้ยุ่งยาก เพราะรถรุ่นใหม่ หลายรุ่นพร้อมรองรับครั้นออกมาจากโรงงาน ที่เราจะพาไปดูว่า วันนี้รถรุ่นไหนบ้าง พร้อมแล้วสำหรับน้ำมัน E85 และ คุณอาจจะอยากได้มาคบหาในยุคน้ำมันแพง..
Mitsubishi Lancer EX 1.8
 
                เรียกว่าเป็นตัวชูโรงเลยก็ว่าได้สำหรับรถคันนี้ที่มีดีในด้านสมรรถนะ และในการกลับมาของรถรุ่นใหม่ มันก็ถูกเติมด้วยสมรรถนะ E85 แต่ก็น่าเสียดายเล็กๆว่ามันได้เฉพาะเครื่องรุ่น 1.8 ที่สามารถรีดกำลังได้เพียง 139 แรงม้า จากปลายเท้า แต่ก็เพียงพอสำหรับขับขี่ทั่วๆไปไม่ซิ่งมาก แถมเรือนร่างปลาฉลามยังเป็นที่ถูกใจใครหลายคน โดยเฉพาะสาวกที่ชอบ Mitsubishi Evolution

Chevrolet Capitva Minor Change
 
                 อาจจะกล่าวได้อย่างเต็มปากว่าเป็นรถอเนกประสงค์รุ่นดียวในตลาดที่มีความสามารถนี้ จากการปรับทัพล่าสุดเมื่อช่วงปีที่แล้วของค่ายรถยนต์รายนี้ ทำให้เครื่องยนต์ของ Chevrolet Captiva  ใหม่รุ่นปลากะโห้้ปรับโฉมสามารถรองรับน้ำมัน E85 ได้ด้วยกำลังสูงสุดถึง 168 แรงม้า ตอบสนองได้อย่างลงตัว
                ส่วนหนึ่งจากที่ได้ไปทดสอบด้วยตนเองในคาราวานทดสอบ พบว่า รถ Chevrolet Captiva  ที่ใช้น้ำมัน E85 ค่อนข้างตอบสนองดี เครื่องยนต์ขนาด 2.4 ไม่ทำให้ผิดหวัง ยิ่งเมื่อมองว่ามันเป็นรถอเนกประสงค์เจ้าเดียวในตลาดตอนนี้ ก็คงต้องคบคันนี้ถ้าชอบการใช้งานที่ตอบสนองได้หลากหลายแถมยังหรูด้วย แถมราคาค่าตัวก็เพียง 1.595 ล้าน ในรุ่น LTZ  ท็อปสุด
Honda Civic 2012
                มาลงตลาดไทยเป็นที่เรียบร้อย แต่ในขณะที่หมัดเด็ดของ  Honda  ครั้งนี้ก็อยู่ที่เครื่องยนต์สามารถใช้น้ำมัน  E85 ได้ ทั้งรุ่น 1.8 และ 2.0 ลิตร หลังจากที่เคยออกมาเป็นผู้นำในเรื่องน้ำมัน  E20 เมื่อช่วงหลายปีที่ผ่านมา
                การมาของ Honda Civic 2012 อาจจะเป็นที่พูดคุยกันในเรื่องของการออกแบบดีไซน์ แต่ในสมรรถนะการขับขี่จากเครื่องยนต์ทั้ง 2 รุ่น มันก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ารถรุ่นอื่นเลย โดยเฉพาะในการทดสอบล่าสุดที่ได้ไปลองขับมารถรุ่นนี้ สามารถตอบสนองได้ดีจากการเติมE85 และที่เราต้องปรบมือให้คือเรื่องกลิ่นที่ไม่มีเลยแม้จะเค้นในความเร็วสูง แต่ถึงอย่างนั้น  Honda  ก็ออกมายอมรับว่า เมื่อใช้น้ำมัน E85 Civic 2012 จะมีอัตราประหยัดลงลงมาป้วนเปี้ยนแถว 11  กิโลเมตร / ลิตร แต่จะว่าไปก็คุ้มที่จะซื้อ
Volvo S80 DRIVe
 
                มาดูทางฝั่งรถยุโรปกันบ้างและถ้าพูดถึงรถยนต์ ที่สามารถใช้พลังงานทางเลือก E85 ความจริงต้องยกให้  Volvo  ที่เป็นตัวตั้งตัวตีเรื่องนี้มานานมากพอสมควร และล่าสุดก็เพิ่งปรับทัพส่ง  Volvo S80 Drive  ที่ให้ความสามารถในการใช้พลังงานทางเลือก E85 ได้
                แม้การกลับมาครั้งนี้ของ  Volvo S80 จะใช้เครื่องยนต์เล็กลง แต่ก็เพิ่มพลังด้วยเทอร์โบยัดเข้ามาในเครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 180 แรงม้าที่ 5,700 รอบต่อนาที  สามารถทะยาน 0-100 ก.ม./ช.ม. ใน 9.2 วินาที ส่วนราคาก็ 2.49 ล้านบาทเท่านั้น
Volvo S60 DRIVe
 
                เล็กลงมานิดแต่ยังเป็นค่ายรถยนต์สวีดิชค่ายเดิมกับ Volvo  S60 DRIVe  ที่สามารถใช้ E 85 กับคอมแพ็คคาร์สุดหรู ที่ออกมาตั้งแต่เมื่อ Motor Expo 2011 เป็นความตั้งในในการตอบสนองพลังงานทางเลือก  ซึ่งแม้จะมีเรือนร่างเล็ก แต่ก็พกสมรรถนะจากเครื่องยนตN 1.6  ลิตร 180 แรงม้า มาตอบสนองการขับขี่ พร้อมทรวดทรงที่ครองใจมาแล้วทั่วโลก ทำให้ในรุ่นนี้ก็น่าใช้ไม่หยอก ยิ่งมองราคาที่เริ่มต้น 1.89 ล้านบาท บางทีถ้าชอบรถหรูและประหยัดน่าจะลองคบหาคันนี้ดู
            แม้ว่าปัจจุบันจะมีรถยนต์รุ่นใหม่มากมายที่ออกมาตอบโจทย์ทั้งในเรื่องความประหยัดและสมรรถนะการขับขี่ แต่ที่เรามุ่งเน้นในการส่งเสริมให้ใช้พลังงานทางเลือก  e85 เพราะว่า มันยังสามารถช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมได้อีกด้วย ซึ่งจากข้อมูลเมื่อเทียบระหว่างน้ำมันปกติแล้วกับ E85 แล้ว มันสามารถช่วยลดก๊าซ CO2 ได้ถึง 850 กรัม/ลิตรเลยทีเดียว..เรียกว่าทั้งประหยัดเงินและรักษาสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน

รู้จัก E85

เมื่อวันอังคาร คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกับข้อเสนอของ พล.ท.หญิงพูนภิรมย์ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีพลังงาน ให้ใช้นํ้ามัน "ก๊าซโซฮอล์ E 85" มาเป็นนํ้ามันหลักในการแก้ปัญหาวิกฤติราคานํ้ามันแพงในระยะยาว และมีมติให้กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง และกระทรวงเกษตรฯ ไปทำแผนส่งเสริมและผลิตนํ้ามันก๊าซโซฮอล์อี 85 ร่วมกัน

         นํ้ามันก๊าซโซฮอล์ อี 85 คือนํ้ามันอะไร ใช้แก้ปัญหาราคานํ้ามันแพงในระยะยาวได้อย่างไร หลายคนอาจสงสัย คำตอบก็ง่ายมากครับ นํ้ามันอี 85 ก็คือ นํ้ามันที่มีส่วนผสมของ "เอธานอล" 85 เปอร์เซ็นต์ (ผลิตได้เองในเมืองไทยจากอ้อยและมันสำปะหลัง) และ ส่วนผสมของ "นํ้ามันเบนซิน" 15 เปอร์เซ็นต์
         แล้วจะช่วยประหยัดนํ้ามันได้อย่างไร

         คำตอบก็ง่ายมากอีก นํ้ามันเบนซิน 95 ราคาล่าสุดอยู่ที่ลิตรละ 39.59 บาท ตีเสียว่า ลิตรละ 40 บาท ก็แล้วกัน ส่วน ราคาเอธานอล อยู่ที่ประมาณลิตรละ 17-18 บาท ก็ตีเสียว่า ลิตรละ 20 บาท นํ้ามันอี 85 หนึ่งลิตร ประกอบด้วย เอธานอล 85 เปอร์เซ็นต์ ก็คิดเป็นเงิน ลิตรละ 17 บาท (จากราคาเอธานอลลิตรละ 20 บาท) เบนซิน 15 เปอร์เซ็นต์ ก็คิดเป็นเงิน ลิตรละ 6 บาท (จากราคาเบนซิน 95 ลิตรละ 40 บาท)

         ผสมกันออกมาเป็นนํ้ามันอี 85 ก็จะตกลิตรละ 23 บาท ถูกกว่าเบนซิน 95 ลิตรละ 16.59 บาท ถูกกว่าก๊าซโซฮอล์ 95 ลิตรละ 12.59 บาท ที่สำคัญที่สุดก็คือ นํ้ามันสูตรอี 85 จะช่วยให้ไทยลดการใช้นํ้ามันเบนซินลงถึงร้อยละ 85 ทำให้ ลดการใช้นํ้ามันดิบ ที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ถึงปีละกว่า 97,000 ล้านบาท อย่างที่ รัฐมนตรีหญิง พล.ท. หญิง พูนภิรมย์ ลิปตพัลลภ แถลง
         ในทางตรงกันข้าม น้ำมันเบนซินที่ลดลงร้อยละ 85 ต่อลิตร และใช้เอธานอล ทดแทนนั้น จะย้อนกลับมาเป็นผลผลิตของเกษตรกรไทย และโรงงานผลิตเอธานอลในเมืองไทย คิดเป็นมูลกว่า 82,000 ล้านบาทต่อปี ไปกลับประเทศไทยประหยัดเงินค่าน้ำมันได้อย่างต่ำปีละ 97,000 ล้านบาท และเพิ่มรายได้เกษตรกรและโรงงานอีกปีละ 82,000 ล้านบาท แถมยังไม่ต้องเดือดร้อนจากราคาน้ำมันแพงอีกด้วย ทีนี้น้ำมันดิบแขกโอเปกจะขึ้นไปบาร์เรลละ 150 หรือ 200 เหรียญ คนไทยก็ไม่เดือดร้อนอีกต่อไปแล้ว

         ในอนาคตถ้ารัฐบาลสามารถบังคับให้บริษัทรถยนต์ผลิตรถที่ใช้ เอธานอล 100 เปอร์เซ็นต์เหมือนประเทศบราซิลได้แล้ว เราก็แทบจะไม่ต้องนำเข้าน้ำมันดิบเลย วัตถุดิบหลัก ที่ใช้ในการผลิต เอธานอล ก็คือ "อ้อย" เมื่อวานนี้ผมเพิ่งกินข้าวคุยกับ คุณอิสระ ว่องกุศลกิจ กรรมการผู้จัดการบริษัทน้ำตาลมิตรผล ผู้ผลิตน้ำตาลรายใหญ่ของไทย และมีเครือข่ายไร่อ้อยหลายแสนไร่
         คุณอิสระ บอกผมว่า ปัจจุบันไทยผลิตอ้อยได้ปีละ 70 ล้านตัน ทำเป็นน้ำตาลให้คนไทยบริโภคในประเทศแค่ 20 ล้านตันเท่านั้น ยังมีอ้อยเหลืออีกปีละ 50 ล้านตันที่จะนำมาผลิตเป็นเอธานอลได้อย่างสบาย และทำได้ทันทีเพราะโรงงานผลิตมีอยู่แล้ว ประเทศที่ใช้เอธานอลแทนน้ำมัน 100% ในโลกวันนี้ก็มี บราซิล ซึ่งเป็นประเทศปลูกอ้อยมากที่สุดในโลก แม้แต่ สวีเดน ก็ใช้เอธานอลในรถยนต์เกือบ 100% เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม สหรัฐฯ ก็ใช้เอธานอลในรถยนต์ถึง 4-50% ถ้ารัฐบาลลดภาษีจูงใจสูงพอ ผมคิดว่า อีก 3 เดือน ค่ายรถยักษ์ใหญ่อย่าง ฟอร์ด, บีเอ็มดับเบิลยู และ วอลโว่ ก็สามารถจะนำรถที่ใช้น้ำมันอี 85 เข้ามาจำหน่ายได้ทันที อีกปีครึ่งค่อยผลิตในประเทศทุกยี่ห้อ

         งานนี้ต้องชมการตัดสินใจแก้ปัญหาที่เด็ดขาดของ รัฐมนตรีหญิง พล.ท.หญิงพูนภิรมย์ ลิปตพัลลภ เพราะ น้ำมันอี 85 ไทยเราทำได้เองทันทีวันนี้พรุ่งนี้ และมีการพิสูจน์แล้วว่าแก้ปัญหาน้ำมันแพงในระยะยาวได้จริง

ข้อมูลจาก